ชื่อนิทรรศการ : Burmese Buddhist Art
นิทรรศการ “Burmese Buddhist Art” เป็นการจัดแสดงศิลปะพม่า โดยเฉพาะประติมากรรมพระพุทธรูปพระพม่าในการสะสมของ คุณศุภโชค อังคสุวรรณศิริ ประธานหอศิลป์ ‘ศุภโชค ดิ อาร์ต เซนเตอร์’ (Subhashok the Arts Centre) ซึ่งมีทั้งหมด 9 องค์ด้วยกัน ในรูปแบบลักษณะที่แตกต่างกันไปทั้งรูปลักษณ์ ยุคสมัย วัสดุ หรือวิธีการสร้างสรรค์ ล้วนเป็นพุทธศิลป์ที่งดงามและทรงคุณค่าแก่การอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง
ประเทศสหภาพพม่า (Burma) หรือ เมียนมาร์ (Myanmar) เป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกันกับทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ แต่เนื่องด้วยประเทศพม่าปิดประเทศเป็นเวลานาน ทำให้ศิลปวัฒนธรรมพม่านั้นไม่เป็นที่ได้เผยแพร่สักเท่าใดนัก อีกทั้งเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับพุทธศิลป์พม่าก็ยังมีผู้ศึกษาอยู่น้อย จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้นำพระพุทธรูปพม่าแท้ๆ มาจัดแสดงนิทรรศการให้แก่ประชาชนที่สนใจได้ชม
พม่า เป็นประเทศที่มีรากทางประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีความเกี่ยวข้องกันเปรียบเสมือนเพื่อนบ้านที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง หรือเศรษฐกิจ หากกล่าวถึงประเทศพม่าความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะนึกถึง ชนชาวพม่าให้ความสำคัญพุทธศาสนาอย่างยิ่งยวด ความเลื่อมใสศรัทธาส่งผลแก่งานพุทธศิลป์ต่างๆ รวมถึงงานประติมากรรมด้วย พระพุทธรูปของพม่าถือได้ว่ามีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างสูง และเปี่ยมไปด้วยสุนทรียศาสตร์แห่งความงาม
นอกเหนือจากความวิจิตรงดงามตระการตาของพระพุทธรูปแล้ว นิทรรศการครั้งนี้ยังต้องการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศพม่า ประวัติศาสตร์ศิลปะ และพระพุทธรูปในยุคต่างๆ แก่ผู้ชมที่สนใจในเนื้อหาข้อมูลเพิ่มเติมของศิลปะพม่า โดยเนื้อหาที่นำมาสรุปนั้นมีการอ้างอิงข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศสเป็นหลัก ข้อมูลโดย Jean Boisselier, Gordon H.Luce, และ Pierre Pichard อีกทั้งเนื้อหาข้อมูลประวัติศาสตร์ศิลป์พม่าจากหนังสือของศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล และศ.ดร. สันติ เล็กสุขุม และคำแนะนำจากผู้มีความรู้ทางศิลปะเอเชียอีกหลายท่าน
อย่างไรก็ตามเนื้อหาของนักประวัติศาสตร์ศิลปะหรือนักโบราณคดีแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันในรายละเอียด อีกทั้งตำราที่ศึกษาเกี่ยวกับศิลปะพม่านั้นยังมีผู้ศึกษาอยู่น้อย ดังนั้นข้อมูลที่จัดทำออกมานั้นอาจจะยังไม่สมบูรณ์ครอบคลุมในทุกด้าน แต่ถึงกระนั้นผู้เขียนก็หวังว่าจะให้สาระและความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพระพุทธรูปพม่าแก่ผู้ที่สนใจ และมีความสุขในการชื่นชมพระพุทธรูปทั้ง 9 องค์ในนิทรรศการครั้งนี้
text writer : Preuksapak Chorsakul (ภฤศภัค ช่อสกุล)
ประวัติศาสตร์ พุทธศาสนา และศิลปะพม่า
สหภาพเมียนมาร์หรือประเทศพม่าในปัจจุบัน เป็นดินแดนหนึ่งที่เริ่มมีการเข้ามาใช้งานพื้นที่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งพบหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ อาทิ ขวานหินขัด ลูกปัด เครื่องประดับ งานสำริด และภาชนะดินเผาเทคนิคพื้นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแหล่งโบราณคดีอื่นๆในภูมิภาคใกล้เคียงบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงพุทธศตวรรษที่ 7 ทั้งนี้พื้นที่นี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งภูเขา พื้นที่ราบลุ่ม แม่น้ำ และยังมีพื้นที่บางส่วนติดทะเลจึงดึงดูดให้มนุษย์เข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องยาวนาน
จนกระทั่งราวพุทธศตวรรษที่ 7 – 8 อารยธรรมอินเดียเริ่มแพร่ขยายเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยการเดินเรือติดต่อค้าขาย จึงได้นำอารยธรรมเหล่านั้นเข้ามาเผยแพร่ด้วย โดยมีเมืองท่าสำคัญที่ตั้งติดอยู่กับชายอ่าวเบงกอลอย่าง เมืองสะเทิม แถบอ่าวเมาะตะมะ เมืองธัญญวดี เมืองเวสาลีในรัฐยะไข่ เป็นจุดแรกรับอารยธรรมอินเดียในแผ่นดินของพม่า ก่อนที่จะส่งผ่านติดต่อค้าขายยังส่วนอื่นๆต่อไป ช่วงเริ่มรับอารยธรรมอินเดียในพุทธศตวรรษที่ 7-11 มีจดหมายเหตุของจีน ได้กล่าวถึงอาณาจักรปยูซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียในราวพุทธศตวรรษที่ 8 ส่วนวัฒนธรรมทางพุทธศาสนากล่าวไว้เกี่ยวกับการเดินทางมาเผยแพร่พุทธศาสนาของสมณทูตจากอินเดีย ในช่วงเวลาเดียวกับการเผยแพร่พุทธศาสนาในศรีลังกา
ประเทศสหภาพพม่า (Burma) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น เมียนมาร์ (Myanmar) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของคาบสมุทรอินโดจีนหรือเอเชียอาคเนย์ ภูมิอากาศอยู่ในย่านมรสุมเขตร้อน สภาพภูมิประเทศตอนบนค่อนข้างแห้งแล้งกว่าตอนล่าง มีแม่น้ำอิระวดีเป็นแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านจากทิศเหนือสู่อ่าว เบงกอล ทางทิศใต้ ประเทศพม่าประกอบด้วยหลายชนชาติ เมืองสำคัญต่างๆด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การปกครอง และเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ ซึ่งศิลปะพม่าส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดีย โดยเฉพาะอินเดียตะวันออกซึ่งอยู่ใกล้ประเทศพม่ามากที่สุด แต่พม่าก็นำมาปรับเปลี่ยนให้มีลักษณะเฉพาะตัวและรักษาเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างมาก
ศิลปะพม่าส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา รวมทั้งจิตวิญญาณและวิถีชีวิตของชาวพม่าด้วย เนื่องจากพม่ายังนับถือพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด แบบแผนในงานศิลปะจึงปฏิบัติเข้มงวดตามประเพณี และสะท้อนให้เห็นความเชื่อและวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนาในประเทศพม่า
สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากอินเดียตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ฝ่ายนิกายหินยานหรือเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ควบคู่ไปกับการนับถือผีสางเทวดา เช่น คติความเชื่อเรื่องผีนัต วิญญาณบรรพบุรุษ และศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ศิลปกรรมแสดงปรากฏออกมาสืบเนื่องผสมผสานมาจากแบบหินยานและมหายาน ซึ่งกล่าวได้ว่าศิลปะเกี่ยวกับพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์มากที่สุด เพราะมีรูปแบบเฉพาะตัวและสร้างขึ้นภายใต้ความศรัทธาอย่างลึกซึ้ง ทั้งความงามทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม ศิลปหัตถกรรมหรืองานประยุกต์ศิลป์ต่างๆ จนกล่าวได้ว่าเป็นแดนพุทธศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ศิลปะพม่ามีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่การศึกษาเริ่มขึ้นเมื่อได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย ดังนั้นการจัดสมัยศิลปะพม่าของนักวิชาการส่วนใหญ่จะเริ่มตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์เป็นต้นมา การจัดสมัยจะเรียกตามเมืองหรืออาณาจักรซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางปกครองในอดีต เพราะเมืองเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและวิวัฒนาการการสร้างประเทศ ดังนั้นศิลปะพม่าอาจแบ่งยุคสมัยได้ดังนี้ (ศ.หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล,2538 : 316)
-สมัยปยู (Pyu) ราวพุทธศตวรรษที่ 12-14
-สมัยมอญ (Mon) ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 14
-สมัยพุกาม (Pagan) ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16-18
-สมัยอังวะ (Ava) ราวพุทธศตวรรษที่ 22-24
-สมัยหลังหรือสมัยอมรปุระและมัณฑเลย์ (Amarapura and Mandalay) ราวพุทธศตวรรษที่
24
สมัยปยู (Pyu)
ปยูถือได้ว่าเป็นอาณาจักรแรกของประเทศพม่า อาศัยอยู่ในประเทศพม่ามาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 10 อพยพลงมาจากเทือกเขาทิเบตทางตอนเหนือ เชื้อสายอินโดทิเบเตียน รับอารยธรรมอินเดียร่วมสมัยกับเมืองมอญทางตอนใต้คือสุธรรมวดี หรือสะเทิม (Thaton) และวัฒนธรรมมอญ ทวารวดีในประเทศไทยด้วย อาณาจักรปยูตั้งอยู่ทางตอนกลางของลุ่มแม่น้ำอิระวดีและอาณาจักรมอญมีบทบาทสำคัญในการก่อกำเนิดศิลปะพม่าขึ้น ส่วนแคว้นยะไข่ (Arakan) นั้น เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของที่ตั้งจึงเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนของประเทศพม่าและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย สมัยนี้จึงได้รับอิทธิพลของศิลปะอมราวดี
ความเก่าแก่ของวัฒนธรรมศาสนาพุทธศาสนาที่แพร่หลายจากอินเดียมาสู่ภาคกลางของพม่า เริ่มมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 แล้ว ในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 พุทธศาสนาลัทธิเถรวาทสองนิกายใหญ่เจริญควบคู่กัน คือนิกายเถรวาทหรือหินยานซึ่งใช้ภาษาบาลี และนิกายมูลสรรวาสติวาทซึ่งใช้ภาษาสันสกฤต นิกายมูลสรรวาสติวาทแยกมาจากนิกายเถรวาทโดยตรง มีหลักธรรมใกล้เคียงกัน ได้แพร่หลายไปทั่วอินเดียภาคกลางและอินเดียภาคเหนือ ปัจจุบันวินัยของนิกายนี้นับถือโดยพระภิกษุในทิเบต แต่ในขณะเดียวกันก็พบหลักฐานเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ด้วย ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นศาสนาแรกรับก่อนพุทธศาสนา
อาณาจักรปยูดินแดนเก่าแก่ซึ่งจดหมายเหตุจีนเรียกว่าเมือง ศรีเกษตร (Srikshetra) แปลว่า ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันคือเมืองแปร เมืองศรีเกษตรเป็นราชธานีแห่งแรก มีหลักฐานว่ามีกษัตริย์ราชวงศ์วิกรม (Vikarama) เป็นผู้ปกครอง เมืองเบคทาโน่ (Beikthano) เป็นราชธานีแห่งที่สองเจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 จึงได้ย้ายราชธานีไปอยู่ที่ฮาลิน (Ha-lin) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ (เหนือเมืองมัณฑะเลย์) จนถึงพุทธศตวรรษที่ 14 จึงเสื่อมลงเนื่องมาจากการรุกรานของอาณาจักรน่านเจ้าที่แผ่อิทธิพลลงมาจากภาคเหนือแถวมณฑลยูนนานได้กวาดต้อนชาวปยู 3,000 ครอบครัวจากเมืองฮาลินไปอยู่อาศัยบริเวณที่ตั้งของเมืองคุนหมิงปัจจุบัน
สมัยมอญ (Mon)
มอญโบราณ เป็นชนชาติอีกกลุ่มหนึ่งที่พบหลักฐานว่าอาศัยอยู่ในแถบอ่าวเมาะตะมะ เช่นที่เมืองสะเทิม เมืองทวาย เมืองมะริด และเมืองใกล้เคียง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11-15 บริเวณเมืองท่าชายฝั่งเหล่านี้ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีของกลุ่มชนชาติมอญโบราณกระจายอยู่ประปราย ส่วนอาณาจักรมอญตั้งอยู่ทางภาคใต้ใกล้กับปากแม่น้ำอิระวดีของประเทศพม่านั้น ปรากฏว่าต่อมาได้ย้ายราชธานีไปอยู่ทางทิศตะวันตก เมืองพะโค(Pegu) หรือหงสาวดี ได้สร้างราชธานีขึ้นในพ.ศ. 1368 (กลางพุทธศตวรรษที่ 14) ในชั้นต้นพวกมอญได้นับถือศาสนาพราหมณ์และต่อมาได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา
อาณาจักรมอญ (Mon) หรือ รามัญเทศ (Ramannadesa) ซึ่งมีราชธานีชื่อ สุธรรมวดี (Sudhammavati) และต่อมาคือเมืองสะเทิม หรือถะทน (Thaton) มีความสัมพันธ์กับประเทศอินเดียทางใต้ ส่งอิทธิพลพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทได้เข้ามาแพร่หลายตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 10 เดิมเป็นรัฐอิสระแต่ถูกพระเจ้าอนิรุทธ (พ.ศ. 1587-1626) มหาราชกษัตริย์พม่าแห่งเมืองพุกามปราบปรามลงได้ อาณาจักรมอญต้องตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรพุกามเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งต่อมาได้กลับเป็นเอกราชภายหลังที่อาณาจักรพุกามเสื่อมอำนาจลง ซึ่งมีเมืองเมาะตะมะ (Martaban) และเมืองพะโค(Pegu) ได้ซ่อมแซมดัดแปลงโบราณสถานส่วนใหญ่ จนเป็นการยากที่จะทราบถึงสภาพดั้งเดิมของโบราณสถานเหล่านั้นได้ ศิลปกรรมได้รับอิทธิพลอันเดียวกันซึ่งสืบเนื่องมาจากเมืองศรีเกษตร และหลักฐานแสดงถึงประติมากรรมที่สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู
สมัยนี้มีหลักฐานว่าเริ่มรับอารยธรรมอินเดียเข้ามาแล้ว พบหลักฐานทางโบราณคดี เช่น พระพุทธรูปศิลปะแบบอมราวดี ใกล้เมืองสะเทิม ราวพุทธศตวรรษที่ 9 เชื่อมโยงกับอารยธรรมโบราณ แถบตอนใต้ของพม่าด้านที่ติดกับทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดีย ศิลปะมอญสามารถแบ่งเป็นยุคของศิลปะมอญโบราณและยุคศิลปะอาระคันโบราณ (ยะไข่) ในพุทธศตวรรษที่ 7-15 อยู่ทางภาคตะวันตกของพม่าสมัยโบราณด้านที่ติดกับชายทะเลอ่าวเบงกอล หลักฐานทางศิลปกรรมมีทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ (ในสมัยหลังอิทธิพลศาสนาอิสลามเข้ามาปะปนด้วย)
เมื่อพุทธศตวรรษที่ 7-11 พบหลักฐานว่าชาวมอญโบราณอาศัยอยู่ในแถบภาคกลางของประเทศไทย คือ บริเวณเดียวกับพื้นที่ตั้งเจดีย์จุลประโทน จ.นครปฐม (ปัจจุบัน) เมืองราชบุรี และเมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี พบหลักฐานเด่นคือโบราณสถานเจดีย์จุลประโทน ซึ่งมีลวดลายปูนปั้นประดับสถาปัตยกรรมในพุทธศาสนานิกายสรรวาสติวาส (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม)
สมัยพุกาม (Pagan)
สมัยพุกามมีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16-18 เมืองพุกามตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ อิระวดีในเขตแห้งแล้งทางภาคกลาง เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองและศิลปวัฒนธรรมของชาวพม่าสร้างขึ้นและสถาปนาราชธานีเมื่อปีพ.ศ. 1392 มีอายุอยู่ราว 250 ปี (นับเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์โดยมีหลักฐานทางโบราณคดีจารึกไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา) เมื่อพระเจ้าอนิรุทธ์ (Anuruddha) มหากษัตริย์ของประเทศพม่าทรงครองราชย์ในปี พ.ศ. 1587-1620 ถือได้ว่าเป็นยุคทองหรือยุคคลาสสิกที่สุดของชาวพม่า และเป็นสมัยจักรวรรดิที่ 1 ของชนชาติพม่าด้วย มีการขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมถึงภาคใต้แถบอ่าวเมาะตะมะ ภาคตะวันออกถึงแคว้นอาระคัน (ยะไข่) ภาคเหนือถึงตอนต้นแม่น้ำอิรวดีและชินด์วิน รวมทั้งที่ราบสูงไทใหญ่ (รัฐฉาน) อีกด้วย
สำหรับทางด้านศิลปกรรมนั้นอาจแบ่งออกได้เป็นสองสมัย คือช่วงแรกรับอิทธิพลจากศิลปะมอญ และช่วงหลังเป็นแบบเอกลักษณ์ของพม่าเอง ซึ่งจัดเป็นศิลปะของชนชาติพม่าโดยแท้ หลังจาก อาณาจักรศรีเกษตรได้เสื่อมลงเมื่อปีพ.ศ. 1300 อาณาจักรพุกามได้เจริญขึ้นมาแทนที่ ในช่วงแรกศิลปวัฒนธรรมได้รับอิทธิพลจากศิลปะมอญและศิลปะปยูซึ่งปรากฏในงานศิลปกรรมต่างๆ โดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรม เมืองพุกามจึงเต็มไปด้วยโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์หรือวิหารรูปทรงต่างๆมากมาย เนื่องจากศิลปะพุกามในสมัยพระเจ้าอนิรุทธมหาราชและพระเจ้าจันชิตถา (Kyanzittha) ยังเป็นศิลปะแบบมอญ แต่เมื่อมาตีเมืองสะเทิมจึงรับพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทไปจากมอญด้วย ศาสนสถานจึงมักก่อด้วยอิฐเป็นชั้นเดียวและใช้หินเป็นเครื่องตกแต่งบ้าง แสดงถึงอิทธิพลผสมระหว่างศิลปะพื้นเมืองกับศิลปะของอินเดียภาคตะวันออกเฉียงเหนือในระยะต้นถึงกลางของสมัยพุกาม
ศิลปะพม่าแบบเมืองพุกามหรือพม่าอย่างแท้จริงพัฒนาขึ้นเมื่อราวกลางพุทธศตวรรษที่ 16 (พ.ศ. 1656 -1830) เป็นสมัยซึ่งเกิดขึ้นภายหลังระยะเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของอิทธิพลวัฒนธรรมมอญกำลังเสื่อมลง ศิลปะพุกามมีวิวัฒนาการปรับเปลี่ยนและต่อยอดไปจากเดิมโดยมีเอกลักษณ์เป็นตัวเองมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ในสมัยพระเจ้าอลองสิทธู สร้างวิหารขนาดใหญ่ไว้มากมาย โดยภายในวิหารมีห้องและระเบียงทางเดินภายในซึ่งทำโปร่งกว่าสมัยก่อน
ศิลปะพม่าสมัยพุกามนับว่ามีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก อิทธิพลของมอญเริ่มจางหายไป และตัวหนังสือพม่าได้เริ่มเข้ามาแทนที่ภาษามอญที่หมดความนิยมลง แต่เมื่อกองทัพมองโกลแห่งประเทศจีนตีเมืองพุกามได้ในปีพ.ศ. 1830 ซึ่งตรงกับ การปกครองของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมัยสุโขทัยของไทย หลังจากนั้นศิลปะพม่าและอาณาจักรเมืองพุกามจึงเสื่อมลง
สมัยอังวะ (Ava)
เมืองอังวะ (Ava) หรือรัตนปุระ (Ratanapura) หมายถึงเมืองแก้ว สถาปนาขึ้นในปีพ.ศ. 1907 และเป็นราชธานีในปี พ.ศ. 2179 (พุทธศตวรรษที่ 22-24) ภายหลังที่พวกมองโกลได้ยึดเมืองพุกามแล้วนั้น อาณาจักรพุกามแตกพ่ายล่มสลายไป พม่าได้แตกออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มตองอู กลุ่มแปร กลุ่มอังวะ ทางภาคใต้มีกลุ่มชาวมอญตั้งตนเป็นใหญ่ที่เมืองเมาะตะมะ ชนชาติพม่าไปรวมกันอยู่ที่เมืองตองอู ตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองหงสาวดี (สมัยพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง) พวกยะไข่ได้แยกตัวเป็นอิสระตั้งราชธานีอยู่ที่เวสาลีทางภาคตะวันตกของพม่า ชาวไทใหญ่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์อยู่ที่ภาคเหนือแถวเมืองสะกายอีกด้วย
ในสมัยของพระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราชย์ (พ.ศ. 2094 – 2124) พระเจ้าบุเรงนองทำสงครามขยายอาณาเขตได้รับชัยชนะหลายครั้ง แผ่อาณาเขตพม่ายิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ได้ดินแดนโดยรอบเป็นเมืองขึ้น รวมถึงไทใหญ่ เมืองเชียงใหม่ และกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2112 นับเป็นยุคจักรวรรดิที่ 2 ของชาวพม่า
เมื่อสิ้นรัชกาลของพระเจ้าบุเรงนอง พระโอรสคือพระเจ้านันทบุเรง ได้ทำสงครามกับไทยแต่พ่ายแพ้ถึง 4 ครั้งติดกัน (ครั้งสำคัญคือสงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชา) ต่อมาปลายรัชกาลเกิดความวุ่นวาย รักษาเมืองหงสาวดีไว้ไม่ได้ จึงเสด็จกลับตองอูและถูกราชบุตรพระเจ้าตองอูวางยาพิษจนสิ้นพระชนม์ หลังจากนี้พม่าได้แตกออกเป็นแคว้นใหญ่น้อยอีกครั้งหนึ่ง เป็นอันสิ้นสุดยุคจักรวรรดิที่ 2
หลังสมัยเสื่อมของเมืองพุกามจนถึงการสถาปนาเมืองอังวะหรือรัตนปุระ ถึงแม้จะมีการแยกออกเป็นหลายอาณาจักรตามแคว้นต่างๆ ด้วยสภาพทางการเมืองไม่มั่นคง เกิดการแตกแยกภายในและการรุกรานสงครามจากเพื่อนบ้านโดยรอบ ทำให้ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมเสื่อมลง จนกระทั่งถึงตอนปลายของอาณาจักรอังวะ (สถาปนา พ.ศ. 2179) จึงเริ่มมีการฟื้นฟูศิลปกรรมต่อจากพุกาม พระพุทธรูปก็แสดงถึงศิลปะอินเดียแบบปาละต่อมา โบราณสถานส่วนใหญ่ก่อด้วยอิฐและไม้ สถาปัตยกรรมเองก็แสดงให้เห็นถึงความบันดาลใจมาจากศิลปกรรมที่ก่อสร้างสร้างเลียนแบบเครื่องไม้
สมัยหลังหรือสมัยอมรปุระและมัณฑเลย์ (Amarapura and Mandalay)
ศิลปะสมัยหลัง หรือศิลปะของเมืองอมรปุระและเมืองมัณฑเลย์ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 จนถึงปัจจุบัน ราชธานีซึ่งสืบต่อมาหรืออยู่ร่วมสมัยระหว่างหลังเมืองพุกามจนถึงสมัยเมืองอังวะ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอิรวดี พระเจ้าโบดอปยะ (Bodawpaya) ได้ย้ายราชธานีจากเมืองอังวะไปที่เมืองอมรปุระในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 ปัจจุบันได้รวมเป็นเมืองเดียวกันกับมัณฑะเลย์ (สร้างโดยพระเจ้ามินดงเมื่อพ.ศ. 2400) ซึ่งหลังจากหมดสมัยอาณาจักรพุกามแล้ว ศิลปกรรมพม่าดูอ่อนด้อยลงไปกว่าสมัยพุกามมาก สมัยนี้เองที่เริ่มมีการฟื้นฟูศิลปกรรมแบบพม่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ในสมัยพระเจ้ามินดง (พ.ศ.2396-2421) ขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 2396 ได้ทำไมตรีกับอังกฤษ พม่าจึงถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ทางภาคใต้ อังกฤษเป็นผู้ปกครอง เมืองหลวงตั้งอยู่ที่ย่างกุ้ง และทางภาคเหนือนั้นพม่าเป็นผู้ปกครองเอง เมืองหลวงอยู่ที่อมรปุระ ต่อมาพ.ศ. 2400 ได้ย้ายเมืองหลวงมาสร้างใหม่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ให้ชื่อว่า กรุงรัตนปุระ ตามชื่อเดิมของเมืองอังวะ และได้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งใหญ่เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา
ต่อมาปีพ.ศ. 2428 ยุคของพระเจ้าสีป่อ อังกฤษได้ส่งกองทัพเข้ายึดพม่าภาคเหนือที่เมืองมัณฑะเลย์ จับตัวพระเจ้าสีป่อไว้ที่ภาคตะวันตกของอินเดียจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ และในปีพ.ศ. 2468 เป็นอันสิ้นสุดสถาบันกษัตริย์ของพม่า
ทางด้านศิลปะสมัยหลังได้หันไปเลียนแบบศิลปะแบบประเพณีของพุกาม การสลักไม้ของพม่าในสมัยมัณฑเลย์นี้ยังคงความงดงาม ซึ่งศาสนาสถานในสมัยนี้นิยมก่อสร้างด้วยเครื่องไม้ มีลวดลายเครื่องประดับอย่างอลังการและประณีตวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง สถาปัตยกรรมอาคารเรือนไม้นิยมสร้างแบบเรือนปราสาทชั้นซ้อนแบบพม่า ทางพม่าออกเสียงว่า ปะยาทาต (Pyathat)
พระพุทธรูปในสมัยหลังพุกามเชื่อว่ามีการก่อสร้างมากมาย การสร้างพระพุทธรูปจากหินสลัก ไม้ และโลหะ สำหรับประติมากรรมได้แกะสลัก (ทั้งที่เป็นประติมกรรมลอยตัวและสภาพสลักนูน) มักจะปิดทองหรือทาสีหลากสี ซึ่งเป็นการแสดงอย่างดียิ่งถึงประเพณีของศิลปะพม่าสมัยใหม่นี้ สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนัง พบว่าเริ่มนำสีวิทยาศาสตร์ (สีสังเคราะห์) มาใช้ เน้นเทคนิคการใช้สีที่สดใส เช่น สีฟ้า สีเขียว เชื่อว่าได้รับแนวคิดและวัตถุดิบจากจีน
พม่าอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษตั้งแต่ปี พ.ศ.2428-2491 เป็นระยะเวลาถึง 63 ปี จนกระทั่งวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 ประเทศอังกฤษประกาศให้เอกราชคืนกับพม่าอย่างเป็นทางการ มีนายพลอองซาน เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสหภาพพม่า และประธานาธิบดีคนแรกเป็นชนกลุ่มน้อยชื่อ “เจ้าฟ้าชเวเทียกสอพวา แห่งเมืองยองห้วย” ปัจจุบันมีเมืองหลวงชื่อเมืองเนปีดอว์ ย้ายราชธานีจากเมืองย่างกุ้งเมื่อปีพ.ศ. 2548
อ้างอิง
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล. ประวัติศาสตร์และศิลปะพม่า. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพมหานคร : เมืองโบราณ, 2553.
มรว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์. ศิลปะจามและศิลปะพม่าโดยสังเขป. พิมพ์ครั้งที่1. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์, 2530.
ศ.หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล. ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียง. พิมพ์ครั้งที่2 . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, 2540 .
นวลจันทร์ คำปังสุ์. พม่า. พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง, 2548 .
ศ.หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล และศ.ดร.สันติ เล็กสุขุม. เที่ยวดงเจดีย์ที่พม่าประเทศทางประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, 2545.
ปัญญา เทพสิงห์. ศิลปะเอเชีย. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548.
John Falcomner and other, Burmese Design & Architecture. Singapore : Periplus, 2000.
อภิชัย โพธิ์ประสิทธิ์ศาสตร์. พระพุทธศาสนามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย. 2539
text writer : Preuksapak Chorsakul (ภฤศภัค ช่อสกุล)
ประติมากรรมพระพุทธรูปในประเทศพม่า
พระพุทธศาสนาในประเทศพม่าได้รับอิทธิพลเผยแพร่มาจากอินเดียในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในพม่าอยู่หลายครั้งด้วยกัน ทั้งฝ่ายหินยาน(เถรวาท) นิกายมหายานและนิกายตันตระ รวมทั้งพุทธศาสนานิกายหินยานแบบลังกาวงศ์ซึ่งนับถือสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
พระพุทธศาสนากับวิถีชีวิตชาวพม่านั้นผูกพันกันอย่างมาก ชนชาวพม่าส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา ศาสนากับวิถีชีวิตชาวพม่านั้นผูกพันกันอย่างเคร่งครัด แบบแผนต่างๆในงานศิลปะจึงปฏิบัติเข้มงวดตามประเพณี ศิลปกรรมส่วนใหญ่จะแสดงออกโดดเด่นในทางด้านพุทธศาสนา อาจมีเรื่องความเชื่อท้องถิ่น หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาผสมบ้างในระยะแรก
ถึงแม้ว่าศิลปะพม่าส่วนใหญ่ได้รับอิทธพลพุทธศาสนาฝ่ายหินยานหรือเถรวาท ซึ่งในบางช่วงเวลากลับปรากฏมีแนวคิดและรูปแบบศิลปกรรมคติแบบมหายานเข้ามามีอิทธิพล ความเชื่อในเรื่องพระพุทธศาสนาก็ด้วยเช่นกัน อาทิ เรื่องราวของอดีตพระพุทธเจ้า โดยปรากฏในแนวคิดที่กล่าวว่ามีพระพุทธเจ้ามากมายทุกหนทุกแห่งดั่งเม็ดทรายในมหาสมุทร จึงเป็นเหตุให้สร้างพระพุทธเจ้าหรืออดีตพระพุทธเจ้าหลายองค์ ประดับไว้ตามศาสนสถานต่างๆ แนวคิดเรื่องอดีตพุทธเจ้ามีหลายทฤษฎี อาทิ ที่เชื่อว่าอดีตพระพุทธเจ้าทั้งหมดมี 28 พระองค์ บางท้องถิ่นก็มีแนวคิดเรื่องมีอดีตพระพุทธเจ้า 24 พระองค์ โดยเริ่มนับตั้งแต่ พระพุทธทีปังกร หรือแนวคิดที่กล่าวว่าอดีตพระพุทธเจ้ามี 4 พระองค์ด้วยกัน ได้แก่ พระเจ้ากุสันโธ พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ พระพุทธเจ้ากัสสปะ พระพุทธเจ้าโคตมะ และอนาคตพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรย รวมเป็น 5 พระองค์ เป็นต้น
ประติมากรรมเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นประหนึ่งแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัสดุที่ใช้มีหลากหลายชนิดทั้งหิน ดินเผา ปั้นรัก สำริด ปูน และไม้ ต่างจากความนิยมของไทยที่นิยมเพียงงานปูนปั้น – ก่ออิฐพอกปูนทับซึ่งอาจมีการลงรักปิดทองหรือหล่อสำริดปิดทับเท่านั้น รวมทั้งงานประติมากรรมรูปแบบอื่น อาทิ รูปมนุษย์ อมนุษย์ สัตว์ปกรณัมก็มักเกี่ยวพันกับตำนาน -พุทธชาดกเนื่องในพุทธศาสนาตามตำนานพงศาวดารของพม่าปรากฏอยู่ด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะการดำรงชีวิต คติความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณี ของชนชาติพม่าเป็นตัวแทนของเอกลักษณ์ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบของงานศิลปะและงานประณีตศิลป์
ในส่วนพระพุทธรูปศิลปะพม่าหรือพระพุทธรูปพม่า (Burmese Buddha image) เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจิตรศิลป์ของพม่ามาช้านานเกือบ 1,500 ปีมาแล้ว พระพุทธรูปพม่าระยะแรกได้รับอิทธิพลจากอินเดียและลังกา การแสดงปางหรือครองจีวรได้รับอิทธิพลจากค่านิยมจากสมัยอินเดียโบราณเข้ามาจนกระทั่งคลี่คลายเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะพม่าเองในสมัยพุกาม – อังวะ
นอกจากการสร้างประติมากรรมเนื่องในศาสนาพุทธนิกายมหายานแล้ว แล้วยังรับเอาอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือพระโพธิสัตว์ต่างๆ เรื่องอดีตพระพุทธเจ้า สิ่งเหล่านี้ในปัจจุบันจะเห็นว่าบ้างปรากฏร่วมในศาสนสถานเดียวกับศาสนสถานที่สร้างขึ้นเนื่องในพุทธศาสนานิกายหินยาน หรืออาจอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นถึงสังคมและวัฒนธรรมที่ผู้คนมีความเชื่อร่วมสมัยกัน หรือความนิยมนับถือในแต่ละช่วงเวลาหนึ่งๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงการใช้งานศาสนสถานแห่งหนึ่งให้เป็นอีกลัทธิหนึ่งโดยใช้พื้นที่เดิม เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งพระพุทธรูปปางต่างๆออกได้เป็นสี่อิริยาบถ คือ พระพุทธรูปยืน พระพุทธรูปนั่ง พระพุทธรูปเดิน (พระพุทธรูปปางลีลา) และพระพุทธรูปนอน (ยกตัวอย่างเช่น แสดงปางไสยาสน์กับปางมหาปรินิพพาน) ส่วนใหญ่พระพุทธรูปนั่งพบอยู่ 2 ลักษณะ(อาสนะ)ด้วยกัน คือ ท่าวีราสนะ (นั่งขัดสมาธิราบ) กับท่าวัชราสนะ (นั่งขัดสมาธิเพชร) นอกจากนี้พระหัตถ์ของพระพุทธรูปยังเป็นเครื่องแสดงปางต่างๆ เรียกว่า “มุทรา” อาทิ ภูมิสปรศมุทรา คือ ปางอ้างแม่พระธรณีเป็นพยาน (ปางมารวิชัยหรือปางตรัสรู้) เป็นปางที่แพร่หลายมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย สังเกตจากพระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงบนพระชงฆ์ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงยังแผ่นดิน ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางหงายอยู่บนพระเพลา เป็นต้น
การจำแนกพุทธศิลป์ของพระพุทธรูปของพม่าทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากมีผู้ศึกษาค้นคว้าเป็นส่วนน้อย แต่ถึงกระนั้นก็สามารถแบ่งพระพุทธรูปพม่าออกเป็นศิลปะยุคต่างๆได้ โดยใช้พุทธลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แต่ละยุคสมัยและแหล่งกำเนิดเป็นเกณฑ์ พระพุทธรูปรุ่นแรกสุดคือ พระพุทธรูปแบบศิลปะปยู ในช่วงไล่เลี่ยกันปรากฏพระพุทธรูปศิลปะปะกัน (พุกาม) ถัดมาในยุคพระพุทธรูปปะไคน์ พระพุทธรูปมอญ พระพุทธรูปฉาน (ไทใหญ่) และในยุคหลังเป็นพระพุทธรูปแบบมัณฑเลย์ ซึ่งเราสามารถพบเห็นศิลปะยุคหลังนี้จำนวนมากในปัจจุบัน
พระพุทธรูปศิลปะปยู(Pyu) ชาวปยูเชื่อว่าเป็นชนชาติแรกในประเทศพม่ามาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 10 ตั้งชุมชนเป็นบ้านเมืองและอาณาจักรที่มีกษัตริย์ปกครองเช่นที่เมืองโบราณศรีเกษตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองแปร งานศิลปกรรมของชาวปยูพบส่วนใหญ่ที่เมืองนี้ แบ่งได้ 3 ประเภท คือ สถาปัตยกรรม ประติมากรรมและเหรียญเงินและแผ่นโลหะดุนนูน โดยประติมากรรมจะพบวัสดุทำจากหินสลัก ดินเผา และสำริด มีทั้งแบบงานนูนต่ำและนูนสูง เช่น พระพิมพ์ รูปสัตว์ รูปบุคคลแสดงอิริยาบถต่างๆ สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดียทั้งศิลปะอมราวดีและศิลปะคุปตะ
นอกจากประติมากรรมแล้วยังพบเครื่องดินเผาที่น่าสนใจมากคือโกฐิซึ่งบรรจุอัฐิของผู้วายชนม์ และเหรียญศรีวัตสะ เหรียญทำจากโลหะประเภทเงิน ลวดลายที่ปรากฏบนเหรียญมีที่มาจากอาคารของพระศรีหรือพระลักษมี และตัวอักษร “ศรีทวารวติศวรปุณยะ” ซึ่งแปลว่า “การบุณย์ของพระเจ้าศรีทวารวดี” ถูกสร้างโดยกษัตริย์ท้องถิ่นสมัยโบราณ พบตามเมืองโบราณสมัยทวารวดีบริเวณภาคกลางของประเทศไทยและในเมืองโบราณร่วมสมัยอื่นๆในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น รัฐมอญ รัฐฟูนัน (กัมพูชาและเวียดนามโบราณ) ราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 16 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ทั้งในศาสนาพุทธและพราหมณ์ สันนิษฐานว่าเหรียญนี้สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนและควบคุมค่าเงินในสมัยโบราณ
ส่วนพระพุทธรูปสมัยปยู ค้นพบมากที่เมืองศรีเกษตร ซึ่งสมัยนี้เป็นระยะแรกของการเริ่มต้นสร้างพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปหลากหลายรูปแบบ โดยนิยมแกะสลักจากหินทรายที่นำมาใช้ทั้งเพื่อเคารพบูชาและประดับตามช่องเว้าของสถูปในงานสถาปัตยกรรม ในช่วงแรกยังไม่สร้างแบบประติมากรรมลอยตัว แต่นิยมแกะสลักแบบนูนสูงมากกว่า โดยบางครั้งแกะสลักทั้งแผ่นหิน บางครั้งก็แกะสลักเฉพาะองค์พระพุทธรูปปางขัดสมาธิเพชร โดยปล่อยพื้นหลังราบเรียบหรือแกะลวดลายเบาบาง
พระพุทธรูปทรงจีวรบางดูแนบเนื้อ คล้ายกับพระพุทธรูปที่พบในกัมพูชาและไทยแบบศิลปะทวารวดี สันนิษฐานว่าอาจเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธรูปแบบพุกาม บ้างพบพระโพธิสัตว์อันแสดงให้เห็นว่าคงสร้างขึ้นในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ประทับนั่งขัดสมาธิราบแบบอินเดียภาคใต้ และยังพบประติมากรรมในศาสนาพราหมณ์ที่เมืองเบคถาโน (Beikthano) ซึ่งเชื่อว่าเป็นเมืองของพระวิษณุด้วย
พระพุทธรูปปะกันหรือพุกาม (Pagan) ราวพุทธศตวรรษที่ 16-19 (พ.ศ.1587-1830) ศิลปะ ปะกันหรือพุกามได้รับอิทธิพลมาจากรูปแบบศิลปะอินเดียโดยตรง ซึ่งศิลปะพม่าเป็นศิลปะหนึ่งที่มีลักษณะของตนเองมากที่สุดในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีผู้ศึกษาน้อยมากคงมีแต่เพียงสมัยพุกามซึ่งเป็นสมัยที่รุ่งเรืองมากที่สุด ศิลปะการช่างสมัยเมืองพุกามสร้างสรรค์ได้เด่นชัดสะท้อนประสิทธิภาพที่ผ่านประสบการณ์อันสูงยิ่ง โดยเฉพาะในด้านสถาปัตยกรรม รองมาได้แก่จิตรกรรมและประติมากรรม มักเป็นส่วนประดับตกแต่งภายในหรือนอกอาคาร ประติมากรรมพระพุทธรูปส่วนใหญ่สร้างขึ้นในพุทธศาสนา เพื่อประดิษฐานเป็นรูปเคารพภายในคูหามากกว่าเป็นเพียงสิ่งประดับตกแต่ง ปรากฏทั้งศิลาแกะ หินทราย หินปูนขาว สำริด อิฐ ประดับด้วยปูนปั้นและดินเผา ส่วนไม้แกะสลักนั้นค่อนข้างหายากหรืออาจเสื่อมสลายไปเสีย
ในชั้นต้นรับอิทธิพลจากประเทศอินเดียภาคใต้และประเทศลังกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงปางต่างๆและการครองจีวร โดยพระพุทธรูปพม่าสมัยแรกที่เมืองพุกามแสดงถึงอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบปาละ-เสนะชัดเจนมากกว่าศิลปะแบบคุปตะ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 – 14 ศิลปะปาละจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียก็ได้เข้ามามีอิทธิพลแทนที่ประเพณีแบบแรก อิทธิพลของศิลปะปาละมีอยู่มากในศิลปะสมัยเมืองพุกาม และช่างพม่าก็ได้ประดิษฐ์ประติมานวิทยาขึ้นหลายแบบ มีลักษณะที่ไม่สามารถพบได้ในสกุลช่างอื่นๆในสมัยเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น สมัยพุกามนิยมทำพระพุทธรูปทรงเครื่องเป็นอย่างมากซึ่งรับแรงบันดาลใจจากศิลปะปาละ-เสนะ เป็นต้น และเมื่อภายหลังเมืองถูกกองทัพจีนตีแตกไปแล้ว อาณาจักรพุกามเสื่อมลง ศิลปะพม่าก็เริ่มมีลักษณะเสื่อมลงและพระพุทธรูปทรงเครื่องดูเหมือนว่าได้รับอิทธิพลสกุลช่างท้องถิ่นเข้ามาแทนที่ ประดับเครื่องศิราภรณ์มากขึ้นและขนาดใหญ่ขึ้น บางครั้งดัดแปลงจนห่างไกลออกไปจากศิลปะปาละมากยิ่งขึ้นทุกที หลังจากนั้นมีอิทธิพลศิลปะชาติอื่นๆเข้ามาเจือปน อาทิเช่น อิทธิพลจีน สังเกตได้จากจีวรพระพุทธรูปบางองค์มีลักษณะคล้ายริ้วผ้าแบบจีน
พระพุทธรูปพุกามมีลักษณะเด่น คือ พระพุทธรูปจะมีอุษณีษะ (กะโหลกศีรษะหรือขมวดมวยพระเกศาสองชั้น) ตามแบบอย่างพระพุทธรูปทั่วไป เหนืออุษณีษะทำเป็นรูปบัวตูมหรือหยาดน้ำค้าง ปมพระเกศามีขนาดใหญ่ เส้นพระเกศาม้วนเป็นวงก้นหอย ไม่มีไรพระศก พระพักตร์ใหญ่ ส่วนบนด้านพระนลาฏกว้างออกเป็นเหลี่ยม ส่วนล่างด้านพระชานุแหลม พระขนงต่อกันเป็นปีกกา พระนาสิกแหลมงุ้ม ปลายพระโอษฐ์บนเป็นรูปกระจับพระโอษฐ์ล่างห้อยเหมือนท้องกระจับ พระกรรณยาวเกือบจรดพระอังสา พระอังสากว้าง พระศอสั้นตันเป็นปล้อง(สามปล้อง) มีเส้นแบ่งปล้องชัดเจน พระเศียรโน้มออกมาข้างหน้าเล็กน้อย
การครองจีวรห่มคลุม บางรูปทำจีวรห่มเฉียง ชายสังฆาฏิห้อยพาดผ่านพระอังสาและพระอุระลงมาเกือบถึงพระนาภี ที่ปลายทำพับซ้อนขดโค้งเหมือนเขี้ยวตะขาบ พระวรกายล่ำสัน บั้นพระองค์(เอว)คอดกิ่ว มักปรากฏอิริยาบถทั้งประทับยืนและประทับนั่ง พระพุทธรูปประทับนั่งช่างจะทำขัดสมาธิเพชรเสมอ ที่นิยมสร้างมากที่สุดคือปางมารวิชัย โดยรวมแล้วรูปแบบพุทธศิลป์จะคล้ายคลึงกัน และมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานสัดส่วนชัดเจน แต่ส่วนของรายละเอียดนั้นมักขึ้นอยู่กับผู้สร้างและวัตถุประสงค์ในการสร้าง หากเป็นฝีมือช่างหลวงแล้วมักมีความวิจิตรบรรจงมากกว่าช่างฝีมือชาวบ้านมาก ล้วนประประดับประดาไปด้วยวัสดุที่มีค่ามีราคา
ในพุกามเมืองแห่งพุทธศาสนามีโบราณสถานถึง 4,000 แห่ง มีเจดีย์มากมาย ส่วนประติมากรรมพระพุทธรูปก็มีเอกลักษณะโดดเด่น ด้านจิตรกรรมภาพพระพุทธองค์แสดงภาพชาดกต่างๆและพุทธประวัติตามผนังเจดีย์วิหาร ซึ่งทั้งหมดต่างมีความหมายเดียวกันคือสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ทั้งพระพุทธเจ้าศากยโคดม พระอดีตพุทธเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่เสด็จมาตรัสรู้บนโลกนี้ และพระปัจเจกพุทธเจ้าจำนวนมากมายดั่งเม็ดทรายในมหาสมุทร ประติมากรรมรูปเทพเจ้าค่อนข้างมีน้อยและยิ่งกว่านั้นยังแสดงถึงความสัมพันธ์กับคติของจักรวาล (ไตรภูมิ) ในพุทธศาสนา และคติของเทวดาหรือภูตประจำท้องถิ่น (นัต) รวมทั้งศาสนาฮินดู ประติมากรรมในสมัยพุกามนั้นแสดงถึงรูปภาพทางประติมานวิทยาที่ขนาดใหญ่ขึ้น และวิวัฒนาการไปสู่สุนทรียภาพอันแท้จริงของศิลปะพม่า และให้อิทธิพลต่อศิลปะอื่นในบริเวณใกล้เคียงและสมัยหลังต่อมา
และพระพุทธรูปในยุคศิลปะต่อมาคือ พระพุทธรูปปะไคน์ (Pakai) ในพุทธศตวรรษที่ 13-16พัฒนาขึ้นในบริเวณแถบเทือกเขาระไคน์และเมืองเมี่ยวอูในประเทศพม่า ถึงแม้ว่าศิลปะสมัยนี้ไม่โดดเด่นเท่าสมัยพุกามแต่ก็มีความงดงามไม่แพ้กัน พระพุทธลักษณะที่พบมักมีพระวรกายกำยำ พระพักตร์สี่เหลี่ยม พระขนงต่อกันเป็นแบบปีกกา มักสวมมงกุฎแบบกษัตริย์
พระพุทธรูปศิลปะปะไคน์ที่มีชื่อเสียงมากคือ พระมหามัยมุนี (Mahamuni Buddha) หรือพระเนื้อนิ่ม เนื่องจากองค์พระถูกปิดทองหนาทับไปมาหลายชั้นเป็นเวลานานจนเนื้อมีลักษณะนุ่มยุ่ยไปทั้งองค์ และไม่สามารถมองเห็นลวดลายของศิลปะบนองค์พระได้ นอกจากนั้นยังพบประติมากรรมพระพุทธรูปแล้ว ยังพบศิลปะประไคน์ในเทวรูปที่ทรงเครื่องดั่งองค์กษัตริย์ ซึ่งเป็นศิลปะพม่าอายุราว 400 ปี สร้างจากวัสดุจำพวกไม้พอกครั่งทารัก อาจมีการปิดทองแต่ไม่ประดับกระจก เทวรูปเหล่านี้สูญหายไปมากในยุคที่พม่าถูกปกครองโดยประเทศอังกฤษ
พระมหามัยมุนี มีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่า พระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่ง ถูกย้ายจากประไคน์เมื่อปีพุทธศักราชที่ 1784 ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดมหามุนีในเมืองมัณฑเลย์ พุทธศิลป์มีลักษณะทรงเครื่อง (เพิ่มเครื่องทรงในยุคหลัง) ประดับทับทรวง กรองศอ สวมมงกุฎ มีกรรเจียกจรข้างพระกรรณคล้ายลายกนก แบบเดียวกับพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาตอนปลายของไทย ซึ่งนักวิชาการบางคนสันนิษฐานว่าลายกรรเจียกจรอาจเลียนแบบจากศิลปะไทย อีกทั้งยังปรากฏร่องรอยของอิทธิพลในศิลปวัตถุอื่นอีกหลายอย่างในพม่า คาดว่าได้รับอิทธิพลเมื่อครั้งตีกรุงศรีอยุธยา พม่านิยมเรียกลวดลายหรือแบบอย่างศิลปะจากไทยนี้ว่า “โยเดีย” (Yodia)
การสร้างพระมหามัยมุนีมีกรรมวิธีโดยพระพุทธรูปแบ่งออกเป็นสามส่วน เมื่อหล่อแล้วจึงนำแต่ละส่วนนั้นมาประสานกัน ครั้งหนึ่งพระพุทธรูปถูกไฟไหม้ ทำให้ทองคำเปลวซึ่งติดบนผิวหลอมละลาย ลามถึงเนื้อสำริดจนดูขรุขระเป็นริ้วรอย ปัจจุบันมีการซ่อมแซมปิดทองคำเปลวใหม่ค่อนข้างหนา จะเว้นเฉพาะพระพักตร์เผยให้เห็นสำริดมันวาวจากการขัดล้างเป็นประจำทุกวันของพุทธศาสนิกชน สำหรับทองคำเปลวซึ่งใช้ติดองค์พระพุทธรูปนั้นก็เริ่มจากตีก้อนทองคำให้แบนเหมือนกระดาษ จากนั้นตัดเป็นแผ่นแล้ววางไว้ระหว่างแผ่นหนังและแผ่นทองแดง แล้วทุบกลับด้านสลับไปมาจนบางมาก ใช้คีมคีบขึ้นวางระหว่างแผ่นกระดาษสาชุมน้ำมันเพื่อใช้งานต่อไป การใช้ทองคำเปลวบางครั้งใช้น้ำรักลงพื้นก่อน ลักษณะนี้ส่วนใหญ่เป็นกระบวนการของช่างซึ่งใช้กับพระพุทธรูปไม้หรือสำริด
พระพุทธรูปมอญหรือรามัญ (Mon) ศิลปะมอญอาณาจักรมอญถือได้ว่าเป็นอาณาจักรโบราณที่มีการตั้งถิ่นฐานมานาน ศิลปะยุคนี้จะรับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียเข้ามาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 9 เนื่องจากติดกับทางทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดีย โดยศิลปะมอญสามารถแบ่งเป็นยุคของศิลปะมอญโบราณ และยุคศิลปะอาระคันโบราณ (ยะไข่) พวกชาวมอญได้นับถือศาสนาพราหมณ์และต่อมาได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา จึงพบหลักฐานทางศิลปกรรมมีทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ด้วย
พุทธลักษณะของพระพุทธรูปยุคนี้ มีลักษณะรูปทรงโปร่งเพรียว โดยปกติพระพักตร์จะอิ่ม รูปทรงคล้ายหอมหัวใหญ่ พระโอษฐ์หนา พระเนตรหลุบลงเบื้องล่าง และพระกรรณยาว ลักษณะงานจะเรียบง่ายดูมีความเป็นพื้นบ้านกว่ายุคอื่น
พระพุทธรูปฉาน (Shan) ราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 พระพุทธรูปที่อยู่ในยุคศิลปะของชุมชนชาวไทใหญ่ ตั้งอยู่ในรัฐฉานทางตอนล่าง รัฐฉานเป็นดินแดนแห่งพระพุทธรูป มีทะเลสาบอินเลย์เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของรัฐฉาน ซึ่งพบพระพุทธรูปมากมายในบริเวณนี้
พุทธลักษณะคล้ายศิลปะมอญและพุกามคือ พระพักตร์ค่อนไปทางสามเหลี่ยม พระหนุแหลม พระนลาฎกว้าง พระเนตรหลุบลงต่ำ พระกรรณยาว พระนาสิกโด่ง พระศอสั้น เนื่องจากยุคสมัยของฉานอยู่ที่ 200 – 300 ปี อายุไม่มากนัก จึงมักพบเห็นพระพุทธรูปศิลปะฉานได้ทั่วไป และอีกทั้งยังคงความงดงามดูน่าเกรงขาม ปรากฏทั้งรูปแบบพระพุทธรูปทรงเครื่องและไม่ทรงเครื่อง ปัจจุบันเป็นที่นิยมของผู้สะสมพระพุทธรูปมากกว่าศิลปะยุคอื่นๆ
พระพุทธรูปศิลปะฉาน (Shan) ในบางตำราเราอาจรู้จักในนามศิลปะ‘ไทใหญ่’ (Tai Yai) ซึ่งศิลปะไทใหญ่นั้นมียุคศิลปะที่กว้างและยาวนาน ปะปนควบคู่ไปกับศิลปะเมืองหลวงในยุคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะอังวะ อมราปุระ มัณฑเลย์ และยุคหลังมัณฑเลย์ โดยแบ่งแยกย่อยออกไปได้อีกคือ ศิลปะยุคไทใหญ่ตอนต้น (พุทธศตวรรษที่ 19) อังวะยุคแรก (พุทธศตวรรษที่ 19-20) ไทใหญ่ตอนปลาย (พุทธศตวรรษที่ 21-24) มัณฑเลย์และยุคหลังมัณฑเลย์ไทใหญ่ (พุทธศตวรรษที่ 24-25)
ในช่วงศิลปะไทใหญ่ของยุคหลังมัณฑเลย์ (พ.ศ. 2428 – 2488) ศิลปะไทใหญ่ถูกเรียกว่า “ศิลปะฉาน” โดยนักโบราณคดีประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวตะวันตก หลังจากอาณาจักรไทใหญ่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นรัฐฉานโดยรัฐบาลอังกฤษ ศิลปะไทใหญ่อาจเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศพม่า แต่อย่างไรก็ตามชื่อศิลปะฉานนั้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางโดยทั่วไปในอารยธรรมโลก
พระพุทธรูปแบบมัณฑเลย์ (Mandalay) ราวพุทธศตวรรษที่ 23 – 24 ยุคสมัยต่อจากศิลปะพุกามและศิลปะมอญจนพัฒนารูปแบบเป็นส่วนตัว ในการปกครองของราชวงศ์สุดท้ายของพม่าคือ ราชวงศ์อลองพญา (Alaungpaya Dynasty) หรือราชวงศ์คองบอง (Konbaung Dynasty) มีเมืองหลวงหลายเมืองด้วยกันทั้งชเวโบ อังวะ อมระปุระ และมัณฑเลย์อาจพบเห็นบางตำราเรียกช่วงศิลปะนี้ว่า ศิลปะคองบอง ซึ่งศิลปวัฒนธรรมในแต่ละราชธานีของราชวงศ์อลองพญาหรือคองบองนั้นมีความคล้ายคลึงกัน แต่อย่างไรก็ตามยังมีความพิเศษในรสนิยมแต่ละยุคสมัยเช่นกัน
ศิลปะมัณฑเลย์ถือได้ว่าเป็นศิลปะที่มีความร่วมสมัย เมื่อภายหลังจากศิลปะพม่าแท้ๆอย่างศิลปะพุกามสิ้นสุดลง ศิลปะพม่าก็มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมของสังคมและการเมืองการปกครอง ได้รับอิทธิพลทั้งในเอเชียและตะวันตกไม่ว่าจะเป็นรูปแบบลักษณะ เทคนิควิธีการ หรือวัสดุที่ใช้ อีกทั้งยังเป็นศิลปะที่พบเห็นจำนวนมากในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่พบเป็นปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร พระขนงโก่งเล็กน้อย พระนาสิกบาน และนิ้วพระหัตถ์เสมอกัน
พระพุทธรูปในสมัยหลังพุกามเชื่อว่ามีการก่อสร้างมากมาย แต่ความแตกต่างในรายละเอียดต่างจากสมัยพุกามคือ ลักษณะพระพักตร์จะเรียวเป็นรูปไข่ เด่นชัดที่สุดคือ ช่างนิยมทำกรอบหน้าครอบระหว่างพระนลาฏและไรพระศก ทำให้พระพุทธรูปในสมัยนี้มีกรอบหน้าทุกพระองค์ และช่างสร้างพระพุทธรูปครองจีวรแบบห่มเฉียงตามแบบจีนเป็นส่วนใหญ่ ผ้าจีวรไม่แสดงความเบาบางอย่างสมัยพุกาม มีเนื้อจีวรที่พับซ้อนหลายชั้นเป็นริ้วยาว ริ้วรอยจีวรพลิ้วอย่างสวยงาม ชายจีวรไม่ขดคดโค้งแต่หยักเป็นรอยพับซ้อนกันมากกว่าพระพุทธรูปสมัยหลังพุกาม มีจีวรพับซ้อนกันเหมือนผ้าพับจริง
ศิลปะมัณฑเลย์ช่วงอายุในสมัยหลังสุดในช่วงสมัยประวัติศาสตร์พม่า แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความงดงาม อ่อนช้อย อ่อนหวาน นุ่มนวลประดิดประดอย ไม่แพ้ความงามของศิลปะยุคสมัยอื่น ในส่วนของพระพุทธรูปก็เช่นกัน พระพุทธรูปแบบมัณฑเลย์มักหล่อด้วยสำริด หรือนิยมแกะสลักด้วยไม้แล้วปิดทองตาม สำหรับงานไม้แกะสลักที่มัณฑเลย์นี้จัดว่าเป็นฝีมือชั้นเยี่ยม มีชื่อเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะลวดลายพันธุ์พฤกษามีความอ่อนพลิ้ว ไม่ว่าก้าน ดอก หรือใบ ตวัดกันไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ในระยะหลังมักทำด้วยรักปั้นและประดับกระจก หรือหินอ่อนสีขาวแกะสลัก (Alabaster) แล้วลงรักปิดทองคำเปลวหรือระบายสีบนพื้นผิว พระพุทธรูปหินอ่อนไม่ปรากฏมากนักในที่อื่นๆ จึงเป็นลักษณะเด่นประการหนึ่งของพระพุทธรูปแบบมัณฑเลย์ มีทั้งงานฝีมือของช่างหลวงและงานชาวบ้านแบบพื้นเมือง
นอกจากสมัยพุกามอันรุ่งเรืองแล้ว พระพุทธรูปหรือศิลปกรรมแขนงต่างๆของพม่ามีหลักฐานหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันให้เห็นให้ศึกษาน้อย เกิดเหตุจากหลายปัจจัยประกอบกัน ยกตัวอย่างเช่น พม่าเกิดศึกสงครามสู้รบกันตลอดเวลา ทำให้ช่างฝีมือไม่มีเวลาคิดเรื่องสร้างสรรค์งานศิลปกรรม หรือถูกกวาดต้อนไปยังรัฐอื่น และถูกทำลายเสียส่วนใหญ่ในระหว่างสงคราม อีกทั้งการย้ายราชธานีบ่อยครั้งก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในระยะเวลาประมาณ 700 ปี ประเทศพม่าได้มีการย้ายราชธานีไปแล้วกว่า 12 ครั้ง ซึ่งเมืองหลวงปัจจุบันอยู่ที่เมืองเนปีดอว์ (พ.ศ. 2548 – ปัจจุบัน) ทำให้ศิลปะขาดความต่อเนื่องในการพัฒนา
อีกทั้งเหตุปัจจัยทางด้านงานบูรณะวัดของชาวพม่า เมื่อโบราณสถานหรือโบราณวัตถุชำรุดเสียหายก็จะทำการบูรณะ ไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน ชาวพม่าเป็นผู้ที่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานิยมบริจาคปัจจัยเพื่อบำรุงและซ่อมแซมศาสนา จึงลำบากในการตรวจสอบงานศิลปะว่ากระทำในสมัยใด ประกอบกับงานด้านโบราณคดีทางด้านการค้นหาหลักฐานที่ใช้ศึกษาทางด้านศิลปะในอดีตยังทำได้ไม่เต็มที่ ผิดกับยุคสมัยพุกามที่มีนักวิชาการจากอังกฤษเข้ามาศึกษาไว้อย่างเป็นระบบคือ ศาสตราจารย์กอร์ดอน เอช. ลูซ (Gordon H.Luce) และกลุ่มนักวิชาการจากฝรั่งเศสที่เข้าไปเก็บข้อมูลอย่างละเอียดไว้คือ ปิแอร์ ปิชารด์ (Pierre Pichard)
พุทธศาสนาให้อิทธิพลแก่ศิลปะพม่าส่วนใหญ่ วิถีชีวิตและจิตวิญญาณของชาวพม่าผูกพันกับศาสนามาโดยตลอด อีกทั้งชาวพม่ายังนับถือพุทธศาสนาและให้ความสำคัญอย่างเคร่งครัด ในงานศิลปะจึงปฏิบัติเข้มงวดตามประเพณีแบบแผนต่างๆ มีสัดส่วนชัดเจนเป็นมาตรฐานตามยุคสมัย ประติมากรรมส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจจากเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและตำนานความเชื่อ ซึ่งสำหรับชาวพม่าเรื่องราวต่างๆและรูปเคารพถือว่าล้วนมีความหมายลึกซึ้ง แม้เป็นเรื่องราวจากตำนานหรือนิทานปรัมปรา ช่างก็ไม่สามารถถ่ายทอดจินตนาการได้ตามใจชอบหรือทำนอกเหนือประเพณีเดิม เพราะเป็นผลิตผลของบรรพบุรุษที่สืบทอดกันยาวนาน
สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังอยู่ในจิตใจของชาวพม่าโดยตลอด จนดูเหมือนว่าประติมากรรมคือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน แต่ศิลปะพม่าก็เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ เมื่อชาติตะวันตกเข้ามามีบทบาททางการเมืองการปกครอง ศิลปะซึ่งเคยยึดตามแบบประเพณีก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น
ปัจจุบันศิลปะในประเทศพม่าจึงปรากฏทั้งแบบดังเดิมและแบบสมัยใหม่ แต่ก็นับว่าเป็นชาติที่ดำรงศิลปวัฒนธรรมแบบเดิมๆอยู่มากทีเดียว และยังคงมีความโดดเด่นงดงามตามแบบฉบับเอกลักษณ์ของพม่าอีกด้วย
อ้างอิง
ภภพพล จันทร์วัฒนกุล. ประวัติศาสตร์และศิลปะพม่า. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพมหานคร : เมืองโบราณ, 2553.
ศ.หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล. ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียง. พิมพ์ครั้งที่2 . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, 2540 .
นวลจันทร์ คำปังสุ์. พม่า. พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง, 2548 .
ศ.หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล และศ.ดร.สันติ เล็กสุขุม. เที่ยวดงเจดีย์ที่พม่าประเทศทางประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, 2545.
ปัญญา เทพสิงห์. ศิลปะเอเชีย. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548.
ศ.ฌอง บวสเซอลีเย่, Jean Boisselier. รวมบทความศิลปะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. ทรงแปลโดย หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล. กรุงเทพมหานคร : หอสมุดสาขาวังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2537.
ณัฐพล โอจรัสพร. 2555. พระพุทธรูปศิลปะพม่า. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : http:// www.antiqueofsiam.com. 1 กรกฎาคม 2555.
Somkiart Lopetcharat, Myanmar Buddha, the image and its history. Bangkok : Darnsutha, 2007.
text writer : Preuksapak Chorsakul (ภฤศภัค ช่อสกุล)